19 พฤศจิกายน, 2551

ว่าด้วยกริยา เป็น อยู่ คือ

ขึ้นต้นแบบนี้คงจะรู้แล้วว่าต้องพูดถึงกริยา be แน่นอน หลายคนบอกว่าใช้ยากเหลือเกิ้นแต่บางคนก็ว่าง่ายนิ้ดเดียว
ต้องบอกก่อนว่าภาษาอังกฤษนี่เวลาใช้คำกริยาอะไรก็ตามต้องผันกริยานั้นๆ ตามประธาน ประธานก็คือผู้ที่กระทำกริยา อาการนั้นๆ
วิธีใช้ก็ง่ายอย่างที่เค้าว่าแหละค่ะ verb be หรือเราๆ คุ้นเคยกันว่า verb to be ก็คือกริยาไม่ปกติตัวหนึ่งในภาษาอังกฤษ จะใช้ก็เมื่อเราต้องการพูดอะไรก็ตามที่แสดงสถานะ สภาพของสิ่งต่างๆ ก็กริยาตัวนี้มีสามความหมาย แปลว่า “เป็น” “ อยู่” หรือ “คือ”
เมื่อต้องการจะสื่อความหมายว่า เป็น ก็เช่น เราบอกว่าอิชั้นเป็นนักเรียนนะเจ้าคะ = I am a student.
อีกความหมายว่า อยู่ ก็เช่น พวกเราอยู่ที่ภูเก็ต = We are in Phuket.
ความหมายสุดท้ายว่า คือ ก็เช่น เขาคือนายแบบชื่อดัง = He is a super model.
กริยานี้ด้วยตัวมันเองก็มีแค่สามความหมายนี้เท่านั้น แต่ถ้าไปรวมกับคำอื่นๆ ก็จะมีความหมายที่ต่างออกไป เช่น เมื่อไปอยู่หลัง there (there is, there are) จะแปลว่า “มี” ถ้าไปรักกับ able to = be able to จะแปลว่า “สามารถ” (can)
การใช้ก็อย่างที่บอกว่ามันขึ้นอยู่กับว่า be เค้าจะอยู่กับลูกพี่ (ประธาน) คนไหน เค้าก็จะแปลงร่างไปตามลูกพี่นั้นๆ ก็ประธานภาษาอังกฤษมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 ตัว ดังนี้คือ I, you, we, they, he, she, และ it เวลาใช้กริยา be ในความหมายที่เป็นปัจจุบัน ตอนนี้ ขณะนี้ ก็จะแปลงร่างไปสามรูปคือ is, am, are และก็ใช้ตามนี้ค่ะ
I am
You are
We are
They are
He/She/It is
เมื่อไรที่พูดถึงอดีตกริยา be ก็จะเปลี่ยนได้สองรูปคือ was กับ were
I was
He/She/It was
You/We/They were
ถ้าพูดถึงอนาคตก็ง่ายไปใหญ่เพราะ be จะไม่เปลี่ยนไปแต่จะไปตามพี่ will ซึ่งเป็นกริยาช่วยตัวเดียวเท่านั้น รักเดียวใจเดียวว่างั้น ไม่ว่าประธานจะเป็นใครน้อง be ก็จะไปกับพี่ will คนเดียว
I/You/We/They/He/She/It will be….

ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมทำความเข้าใจเรื่อง tense ต่างๆ ในภาษาอังกฤษด้วยนะคะ เพราะว่าสำคัญมาก เหมือนกับที่เค้าว่าคนเราต้องรู้กาลเทศะ ค่ะ tense ก็คือกาละ หรือเวลานั่นเอง จะให้คนอื่นเข้าใจเราก็ต้องบอกให้เค้ารู้ว่าเรากำลังพูดถึงอดีต ปัจจุบัน หรือเรื่องที่ยังมาไม่ถึงค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: